ฟุตบอลโลกคราวนี้ย้ายกลับมาโม่แข้งในทวีปยุโรปอีกครั้ง และอิตาลีนับเป็นทีมที่สองต่อจากเม็กซิโก ที่ได้รับสิทธิ์ในการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย เป็นครั้งที่สอง ถึงแม้ว่าจะมีสหภาพโซเวียตเสนอตัวเป็นคนจัด แต่ทางฟีฟ่าก็เลือกอิตาลีให้ได้รับสิทธิ์นั้น
ยังคงมี 24 ทีมเช่นเดิม ซึ่งประกอบไปด้วยทีมจากยุโรป 14 ทีม ได้แก่ ออสเตรีย,เบลเยี่ยม,เชโกสโลโวเกีย,อังกฤษ,อิตาลี(เจ้าภาพ),ไอร์แลนด์,โรมาเนีย,สก็อตแลนด์,สหภาพโซเวียต,สเปน,สวีเดน,เยอรมันตะวันตก และยูโกสลาเวีย ทีมจากอเมริกาใต้ 4 ทีม ได้แก่ อาร์เจนติน่า(แชมป์เก่า),บราซิล,โคลัมเบีย และอุรุกวัย ทีมจะคอนคาเคฟ 2 ทีม คือ สหรัฐอเมริกา และคอสตาริก้า ทีมจากแอฟริกา 2 ทีม คือ อียิปต์ และแคเมอรูน ทีมจากเอเชีย 2 ทีม คือ เกาหลีใต้ และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
ฟุตบอลโลกในครั้งนี้ยังมีทีมที่หน้าจับตามองหลายทีม เช่น แชมป์เก่าเมื่อ 4 ปี ที่แล้วอย่างอาร์เจนติน่า ที่นำทัพโดย ‘เสื้อเตี้ย’ ดีเอโก้ มาราโดน่า เช่นเดิม หรือเนเธอร์แลนด์ที่มีสามทหารเสืออย่าง มาร์โก แวน บาสเท่น,รุท กุลลิท และแฟรงค์ ไรจ์การ์ด ที่มีการเล่นสไตล์โททัลฟุตบอลเป็นจุดเด่น และผู้ท้าชิงเมื่อสี่ปี่ที่แล้วอย่างเยอรมันตะวันตกที่คุมทีมโดย ‘ไกเซอร์ฟรองค์’ ฟรานซ์ เบคเค่นเบาเออร์ และมีลิเบอโร่ ตัวกลั่นอย่างโลธาร์ มัทธีอุส เป็นคนบัญชาการเกมรับ หรือจะเป็นทีมขวัญใจมหาชนอย่างอังกฤษ ที่มีกองหน้าตัวเก่งอย่าง แกรี่ ลินิเกอร์เป็นตัวความหวัง และสุดท้ายที่จะพลาดไม่ได้คือ แชมป์โลกสามสมัยอย่าง บราซิล แต่ที่ทำได้ดีที่สุดคงไม่พ้น ทีมฟ้าขาว อาร์เจนติน่า และทีมอินทรีเหล็ก เยอรมันตะวันตก กลับเข้ามาชนะเลิศกันอีกครั้ง เป็นรีแมตช์ไฟนอล เมื่อ4 ปีที่แล้ว แต่ครั้งนี้ทั้งสองทีมค่อนข้างเล่นกันแบบรัดกุม จนเกมล่วงมาถึงนาทีที่ 85 เยอรมันตะวันตกได้จุดโทษ และเป็น อันเดรียส เบรเม่ แบ็คซ้ายตัวกลั่นของทีม ซัดเข้าไปเป็นประตูชัยให้ทีมอินทรีเหล็กแก้แค้นได้สำเร็จ และขึ้นแท่นเป็นแชมป์โลกสมัยที่สามได้สำเร็จ เทียบเท่ากับ บราซิล และอิตาลี ส่งผลให้ ฟรานซ์ เบคเค่นเบาเออร์ คว้าแชมป์โลกได้สำเร็จทั้งในสมัยที่ยังเป็นผู้เล่น และผู้จัดการทีม
หรือผู้เล่นที่ยิงประตูได้มากที่สุดของการแข่งขันครั้งนี้ ตกเป็นของ ชัลวาตอเร่ สกิลลาชี่ ดาวยิง ทีมชาติอิตาลี ที่ซัดไปทั้งสิ้น 6 ประตูด้วยกัน
จำนวนการแข่งขันทั้งหมด 52 นัด จำนวนประตูที่เกิดขึ้น 115 ประตู
