ฟุตบอลโลกครั้งที่ 10 ปี 1974 จัดขึ้นที่ประเทศเยอรมันตะวันตก
ฟุตบอลโลกในปีย้ายสังเวียนแข้งกลับมาที่ยุโรปอีกครั้ง หลังจากเมื่อสี่ปีที่แล้วจัดขึ้นที่เม็กซิโก ในทวีปอเมริกาเหนือ คราวนี้เป็นเยอรมันตะวันตกที่รับหน้าเสื่อเป็นเจ้าภาพ และเป็นครั้งแรกที่พวกเค้าได้รับสิทธิ์นี้ คราวนี้ถ้วยฟุตบอลโลกไม่ใช่ถ้วย ‘จูล ริเม่ต์’ อีกต่อไปแล้ว และกลายมาเป็นถ้วย ‘ฟีฟ่าเวิลด์คัพ’ ครั้งนี้เป็นครั้งแรก ผลงานนี้ได้ศิลปินชาวอิตาลี ซิลวิโอ แกซตานิกา เป็นคนออกแบบ และยังใช้ถ้วยใบนี้ต่อมาจะถึงปัจจุบัน และการแข่งขันครั้งนี้นั้นก็ต้องเพิ่มระบบรักษาความปลอดภัยกันมากขึ้นกว่าเดิม เพราะเมื่อสองปีก่อนในกีฬาโอลิมปิกมีนักกรีฑาชาวยิว ถูกผู้ก่อการร้ายปาเลสไตน์สังหารไปถึง 9 คน รูปแบบการเล่นยังคงเป็น 16 ทีมเท่าเดิม
ทีมที่เข้าร่วม
ซึ่งประกอบไปด้วยทีมจากยุโรป 9 ทีม ได้แก่ บัลแกเรีย,เยอรมันตะวันออก,เยอรมันตะวันตก(เจ้าภาพ),เนเธอร์แลนด์,อิตาลี,โปแลนด์,สก็อตแลนด์,สวีเดน และยูโกสาเวีย ทีมจากอเมริกาใต้ 4 ทีม ได้แก่ บราซิล(แชมป์เก่า),ชิลี,อาร์เจนติน่า,อุรุกวัย จากคอนคาเคฟ 1 ทีม คือ เฮติ จากโอเชียเนีย 1 ทีม คือ ออสเตรเลีย และจากแอฟริกาอีก 1 ทีม คือ สาธารณรัฐซาร์อี
ในการแข่งครั้งนี้เยอรมันตะวันตกเจ้าภาพกะรวบหัวรวบหางเป็นแชมป์โลกซะเอง ทีมฮินทรีเหล็ก ที่นำทัพโดย ฟรานซ์ เบดเค่นเบาเออร์ และแกรต มุลเลอร์ ดาวซัลโวจากเมื่อสี่ปีที่แล้ว ส่วนบราซิลแชมป์เก่านั้นปีนี้หลงเหลือนักจากฟุตบอบโลกครั้งที่แล้วเพียงแค่สามคนเท่านั้น ที่น่าจับตามองอีกทีมในการแข่งครั้งนี้ก็คือ เนเธอร์แลนด์ที่นำทัพโดย นักเตะเทวดา ‘โยฮัน ครัฟฟ์’ ในการแข่งรอบสุดท้ายรอบแรกนั้น แม้ว่าเยอรมันตะวันตกจะพลาดท่าให้กับเยอรมันตะวันออก แต่พวกเค้าก็ยังเอาตัวรอดกอดคอกันเข้ารอบต่อไปด้วยกัน ส่วนเนเธอร์แลนด์นั้นก็ฟอร์มดีเป็นที่หนึ่งของกลุ่มผ่านเข้ารอบได้เช่นกัน รอบที่สองยังใช้การแข่งแบบ แบ่งกลุ่มอยู่อีกครั้ง แต่จะเหลือเพียงสองกลุ่มเท่านั้น เนเธอร์แลนด์ยังคงฟอร์มร้อนแรงอย่างต่อเนื่อง ชนะทั้ง บราซิล,อาร์เจนติน่า และเยอรมันตะวันออก ยิงไป 8 ประตู และไม่เสียประตูให้ใครเลยในรอบนี้ ขึ้นแท่นเป็นที่หนึ่งของกลุ่มอีกครั้ง เพื่อเข้าไปรอชิงชนะเสิศก่อนใคร และเป็นการเข้าชิงชนะเลิศครั้งแรก ในการผ่านเข้าร่วมรอบสุดท้ายครั้งแรกของอัศวินสีส้มอีกด้วย ส่วนเจ้าภาพนั้นก็ฟอร์มดีไม่แพ้กันเอาชนะได้ทั้ง ยูโกสลาเวีย,สวีเดน และโปแลนด์ ผ่านเข้าไปชิงชนะเลิศในบ้านตัวเองได้สำเร็จ ในนัดชิงชนะเลิศนั้นการแข่งถูกจัดให้เกิดขึ้นที่สนามโอลิมปิก สเตเดี้ยม ในเมืองมิวนิค กองเชียร์เจ้าภาพในสนามราว แปดหมื่นคน เตรียมมาฉลองชัยชนะในครั้งนี้ แต่เมื่อเสียงนกหวีดดังขึ้น ผู้เล่นเนเธอร์แลนด์เริ่มเขี่ยบอล ก็บุกพุ่งเข้าในเขตโทษทันที และโยฮัน ครัฟฟ์ เทวดาลูกหนังโดนอูลี่ เฮอร์เนส เสียบคว่ำในเขตโทษ ผู้ตัดสินไม่รอช้าเป่านกหวีดเป็นจุดโทษทันที และเป็น โยฮัน นีสเก้น ที่รับหน้าที่สังหารเข้าไป เป็นประตูที่เกิดขึ้นโดยที่นักเตะเยอรมันตะวันตกยังไม่มีใครได้สัมผัสบอลเลยสักครั้ง แต่จากนั้นในนาทีที่ 25 แฟนบอลเจ้าภาพก็ได้เฮบ้างเมื่อ แบรนด์ โฮเซนไบร์ ไปโดนวิลเลี่ยม แจนเซ่น รวบในเขตโทษ ผู้ตัดสินเป่านกหวีดเป็นจุดโทษทันที และเป็น พอล ไบร์ทเนอร์ สังหารจุดโทษ ให้เยอรมันตะวันตกตีเสมอ 1-1 แต่แล้วสนามโอลิมปิก สเตเดี้ยมก็แทบแตก เมื่อไอ้ลูกระเบิด ‘แกรต มุลเลอร์’ วอลเล่ย์ประตูสุดสวยให้พลพรรคอินทรีเหล็กขึ้นนำเป็น 2-1 ก่อนหมดเวลาครึ่งแรกเพียงสองนาทีเท่านั้น กลับมาลงเตะในครึ่งหลัง เนเธอร์แลนด์ลงมาบุกเพื่อตีเสมอให้ได้ แต่เกมรับที่มี ฟรานซ์ เบคเค่นเบาเออร์เป็นคนบัญชาเกมช่างเหนียวแน่นจริงๆ จบเกมเนเธอร์แลนด์พ่ายเยอรมันตะวันตกไป 1-2 ส่งทัพอินทรีเหล็กคว้าแชมป์เป็นสมัยที่สองมาครองได้สำเร็จ และเป็นการคว้าแชมป์ในบ้านของตัวเองอีกด้วย
ดาวซัลโว
หรือผู้เล่นที่ยิงประตูได้มากที่สุดของการแข่งขันครั้งนี้ คือ Grzegorz Lato ดาวยิงทีมชาติโปแลนด์ ซึ่งตะบันไปทั้งหมด 7 ประตูด้วยกัน
จำนวนการแข่งขันทั้งหมด 38 นัด จำนวนประตูที่เกิดขึ้น 97 ประตู